หลังจากนักเรียนได้เรียนรู้มาเบื้องต้นแล้ว เรามาต่อภาค 2 เลยละกันครับ
1.Direct speech คือ ข้อความที่ผู้พูดเปล่งออกมาโดยตรง โดยปกติ จะอยู่ในเครื่องหมายคำพูด “….” โดยจะมีผู้กล่าว direct speech กำกับอยู่ด้วย โดยกริยานำเป็น Past tense (say=said, tell=told, can=could, may=might)
Example: Direct: He said, “I can do homework by myself.”
เขาพูดว่า ฉันสามารถทำการบ้านได้ด้วยตัวเอง
2.Indirect speech หรือข้อความของบุคคลหนึ่งที่ถูกนำมาเล่าโดยอีกบุคคลหนึ่ง และข้อความจะถูกแปลงเป็นข้อความของผู้เล่า
Example: Direct: Dang said, “I come from Thailand.”
Indirect: Dang said that he came from Thailand.
3.การถอดความจาก Direct เป็น Indirect speech สังเกตจะใช้ that เป็นคำเชื่อมกลางระหว่างเจ้าของข้อความกับข้อความที่พูดและต้องเปลี่ยนเป็นสรรพนามตัวเดียวกันกับข้อความนำรวมทั้งให้เปลี่ยนสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของด้วย ถ้ามี
Example: Direct: He said, “I can do homework by myself.”
Indirect: He said that he could do homework by himself.
4.ในกรณีที่ข้อความนำได้ระบุคู่สนทนาไว้ด้วย เช่น He said to me, I said to him เราจะต้องใช้ told ในส่วนเจ้าของข้อความและต้องเปลี่ยนสรรพนามในข้อความให้สอดคล้องด้วย (must, should, ought to ไม่มีรูปย่อ)
Example: Direct: I said to him, “You must see Smith”.
Indirect: I told him that he must see Smith.
*** หากคำพูดที่พูดยังเป็นจริงอยู่เสมอ สามารถใช้ Present เขียนในส่วนของคำพูด (reporting) ได้ครับ
Exercise
จงเปลี่ยนเป็น Indirect Speech
Example:He said to me, “I like your house” - He told me that he liked my house.
1. The King said to them, “ I am proud of you”.
2. Malee said to me, “There’s some good news for you”.
3. He said to the policeman, “The thief does not have a gun”.
4. I said to the man, “I don’t know you”.
5. He said to his wife, “I must see a dentist”.
6. They said to him, “we oughtn’t to listen to you”
7. The poor man said to us, “I thank you for your kindness”
8. Udom said to her, “I hope to come back again”.
9. Sombut said to Somsri, “I like your hair”.
10. Our father said to us, “I cannot allow you to smoke”.
นักเรียนลองทำแบบฝึกนี้ดูครับ จะได้เข้าใจมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น